แร่ธาตุต่างๆ ใช้กับ ทรัพยากร
แร่ทองคำ อย่างเดียว
โดย ดาว = ทองในหิน
เขียว = ทองในตะกอน
ทอง (เชียงราย)
ทอง (กลางตอนเหนือ)
ทอง (อีสาน)
ทอง (กลางเพชรบูรณ์)
ทอง (ตะวันออก)
แร่ธาตุต่างๆ ใช้กับ ทรัพยากร
แร่ทองคำ อย่างเดียว
โดย ดาว = ทองในหิน
เขียว = ทองในตะกอน
ทอง (เชียงราย)
ทอง (กลางตอนเหนือ)
ทอง (อีสาน)
ทอง (กลางเพชรบูรณ์)
ทอง (ตะวันออก)
กำลังดำเนินการ
เดือนธันวาคมนี้ จะพานักเรียนไปทัศนศึกษาภาคเหนือ ครูเลยนำลักษณะภูมิประเทศของภาคเหนือมาให้นักเรียน
ศึกษาแต่ไม่ลืมแถมภาคอื่นๆ ให้นักเรียนทราบด้วย
เนื้อหา
ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของภาคต่างๆ ของประเทศไทย
ภาคเหนือ
มีลักษณะภูมิประเทศ เป็นที่ราบระหว่างภูเขามีป่าไม้มาก จึงเป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำสายสำคัญ คือ ปิง วัง ยม น่าน เทือกเขาที่สำคัญ คือเทือกเขาแดนลาว และเทือกเขาถนนธงชัย กั้นระหว่างไทยกับพม่า เทือกเขาผีปันน้ำ อยู่ทางตอนกลางของภาค เทือกเขาหลวงพระบางกั้นระหว่างไทยกับลาว
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
มีลักษณะภูมิประเทศ เป็นที่ราบสูง ดินมีลักษณะเป็นดินร่วนปนทราย จึงทำให้มีความแห้งแล้งมากกว่าภาคอื่นๆ มีเทือกเขาเพชรบูรณ์และเทือกเขาพนมพญาเย็น กั้นระหว่างภาคกลางกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เทือกเขาสันกำแพงและพนมดงรักกั้นระหว่างไทยกับลาวและกัมพูชามีแม่น้ำสายสำคัญคือ แม่น้ำโขง แม่น้ำชี แม่น้ำมูล
ภาคกลาง
ลักษณะพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มริมฝั่งแม่น้ำที่เกิดจากการทับถมของ เศษหิน ดิน กรวด ทราย ที่ถูกพัดพามากับกระแสน้ำ แม่น้ำสายสำคัญคือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำบางประกง แม่น้ำแม่กลอง
ภาคใต้
ลักษณะพื้นที่ จะมีเทือกเขาทอดยาวจากเหนือจดใต้ เลยทำให้ภาคนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือภาคใต้ฝั่งตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ด้านตะวันตกจะเป็นที่ราบสูงภูเขา มีเทือกเขาที่สำคัญคือ เทือกเขาตะนาวศรี เทือกเขาภูเก็ต ที่กั้นระหว่างไทยกับพม่าและเทือกเขาสันการาคีรีที่กั้นระหว่างไทยกัมมาเลเซีย
ภาคตะวันตก
ลักษณะพื้นที่เป็นที่ราบสูงภูเขาคล้ายภาคเหนือ มีเทือกเขาถนนธงชัยกั้นระหว่างไทยกับพม่า
ภาคตะวันออก
ลักษณะพื้นที่ เป็นที่ราบชายฝั่งทะเล มีเทือกเขาบรรทัดกั้นระหว่างไทยกับกัมพูชา
ประเด็นอภิปราย
ประกอบการเรียนการสอน สาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ช่วงชั้นที่ 2
บูรณาการกับสาระการเรียนรู้ ศิลปะ เรื่อง การวาดภาพ ระบายสี
อ้างอิง : ผลงานวิชาการ นางสุจินต์ สวนไผ่ เรื่อง ประเภทของแผนที่
เดือนธันวาคมนี้ จะพานักเรียนไปทัศนศึกษาภาคเหนือ ครูเลยนำลักษณะภูมิประเทศของภาคเหนือมาให้นักเรียน
ศึกษาแต่ไม่ลืมแถมภาคอื่นๆ ให้นักเรียนทราบด้วย
เนื้อหา
ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของภาคต่างๆ ของประเทศไทย
ภาคเหนือ
มีลักษณะภูมิประเทศ เป็นที่ราบระหว่างภูเขามีป่าไม้มาก จึงเป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำสายสำคัญ คือ ปิง วัง ยม น่าน เทือกเขาที่สำคัญ คือเทือกเขาแดนลาว และเทือกเขาถนนธงชัย กั้นระหว่างไทยกับพม่า เทือกเขาผีปันน้ำ อยู่ทางตอนกลางของภาค เทือกเขาหลวงพระบางกั้นระหว่างไทยกับลาว
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
มีลักษณะภูมิประเทศ เป็นที่ราบสูง ดินมีลักษณะเป็นดินร่วนปนทราย จึงทำให้มีความแห้งแล้งมากกว่าภาคอื่นๆ มีเทือกเขาเพชรบูรณ์และเทือกเขาพนมพญาเย็น กั้นระหว่างภาคกลางกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เทือกเขาสันกำแพงและพนมดงรักกั้นระหว่างไทยกับลาวและกัมพูชามีแม่น้ำสายสำคัญคือ แม่น้ำโขง แม่น้ำชี แม่น้ำมูล
ภาคกลาง
ลักษณะพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มริมฝั่งแม่น้ำที่เกิดจากการทับถมของ เศษหิน ดิน กรวด ทราย ที่ถูกพัดพามากับกระแสน้ำ แม่น้ำสายสำคัญคือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำบางประกง แม่น้ำแม่กลอง
ภาคใต้
ลักษณะพื้นที่ จะมีเทือกเขาทอดยาวจากเหนือจดใต้ เลยทำให้ภาคนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือภาคใต้ฝั่งตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ด้านตะวันตกจะเป็นที่ราบสูงภูเขา มีเทือกเขาที่สำคัญคือ เทือกเขาตะนาวศรี เทือกเขาภูเก็ต ที่กั้นระหว่างไทยกับพม่าและเทือกเขาสันการาคีรีที่กั้นระหว่างไทยกัมมาเลเซีย
ภาคตะวันตก
ลักษณะพื้นที่เป็นที่ราบสูงภูเขาคล้ายภาคเหนือ มีเทือกเขาถนนธงชัยกั้นระหว่างไทยกับพม่า
ภาคตะวันออก
ลักษณะพื้นที่ เป็นที่ราบชายฝั่งทะเล มีเทือกเขาบรรทัดกั้นระหว่างไทยกับกัมพูชา
ประเด็นอภิปราย
ประกอบการเรียนการสอน สาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ช่วงชั้นที่ 2
บูรณาการกับสาระการเรียนรู้ ศิลปะ เรื่อง การวาดภาพ ระบายสี
อ้างอิง : ผลงานวิชาการ นางสุจินต์ สวนไผ่ เรื่อง ประเภทของแผนที่
สวัสดีคะ วันหยุด 3 วันที่ผ่าน หวังว่าทุกคนจะได้มีเวลาดีๆ ได้พักผ่อนกาย พักผ่อนใจ ได้ทำกิจกรรมที่ตัวเองชอบ และมีความสุขกับวันหยุดคะ
ครอบครัวสุขสันต์ของแอนนี่ก็ใช้เวลาวันหยุดอย่างนี้ไปเดินเขา (เดินตามทางเดินเล็กๆ สบายๆๆ)ที่ดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ แต่ก่อนจะขึ้นยอดดอยก็ต้องแวะที่น้ำตกแม่กลาง กินข้าวเหนียว ไก่ย่างส้มตำ พร้อมชมบรรยากาศสบาย….. เสียงน้ำไหลที่ตกกระทบหิน…
มาดูรูปสวยๆ น้ำใสๆ ไหลเย็น กันได้เลยคะ
แต่ 2 สาวของแอนนี่สิคะ อารมณ์ไม่ดี เพราะแอนนี่ไม่ได้เตรียมชุดเล่นน้ำมาให้ เรียกถ่ายรูปก็ไม่ยอมถ่าย เพราะงอนคุณแม่ที่ไม่บอกล่วงหน้าว่าจะพามาเที่ยวน้ำตกด้วย
น้องลิตาใส่ชุดไทยเต็มยศเพราะคิดว่าจะมาวัด
น้องลิษาใส่กระโปร่งสบายๆ รองเท้าผ้าใบเตรียมปีนเขา
เด็กน้อย 2 คนนี้ เลี้ยงมาพร้อมกันแต่ความคิดเรื่องการแต่งตัวยังไม่เหมือนกัน เขาต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง อยากจะใส่อะไร เขาเลือกที่จะตัดสินใจเอง แอนนี่ให้อิสระเขาได้เลือก ได้ทำ ได้คิด หัดเขาตั้งแต่เด็กๆ
2 สาวทำหน้าเศร้ามาก
เมื่อเห็นเด็กๆ ทำหน้าเศร้า เราเป็นแม่ก็ใจเสียเหมือนกันคะ ต้องแก้ไขสถานการณ์ โดยซื้อชุดเล่นน้ำให้ใหม่ เสื้อยืด กางเกงขาสั้น ชุดละ 90 บาท ดูแล้วถูกและน่ารักดีคะ ไม่คิดว่าสถานที่ท่องเที่ยงที่ห่างไกลในเมืองมากจะขายถูกอย่างนี้
พอได้ลงเล่นน้ำ ก็ยิ้มแย้มแจ่มใส มีอารมณ์ถ่ายรูปขึ้นมาทันทีเลย
สู้ๆๆๆๆคะแม่
น้ำเย็นๆ แต่ก็ไม่เย็นมาก และก็ไม่ไหลแรงจนเกินไป เหมาะสำหรับการเล่นน้ำคะ
มาเล่นน้ำด้วยกันไหมคะ
มีรูป “จิงโจ้น้ำ” มาฝากคะ
หลังจากเล่นน้ำตกกันเพลิดเพลิน พวกเราเดินทางต่อไปยังพระมหาธาตุ ที่งดงาม เป็นที่เคารพของคนไทย รายล้อมด้วยป่าเขียวขจี อยู่บนยอดดอยสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ด้านล่างได้อย่างชัดเจน (ในวันท้องฟ้าเปิด ไม่มีเมฆหมอก)
อยากให้พื้นป่าในประเทศไทยทุกผืนเขียวขจีเหมือนที่นี้จริงๆ
ทางขึ้นพระมหาธาตุ
อากาศวันนี้หมอกค่อนข้างหนา แสงก็เลยไม่ค่อยมี บางรูปที่มัวเป็นเพราะเมฆหมอกบังตา วันนี้พวกเราเดินขึ้นมหาธาตุฝั่งสวนดอกไม้ ไม่ได้เดินขึ้นทางบันไดด้านหน้า
เด็กบ่นหนาวๆๆๆๆ เพราะไม่ได้เตรียมเสื้อกันหนาวมาด้วย
.
ดอกไฮเดนเยีย แอนนี่ชอบมากคะ เพราะอยู่ค่อนข้างนาน ที่บ้านแอนนี่เองก็ปลูกออกดอกแต่ละครั้ง 6 เดือนถึงจะโรยแต่เป็นสีชมพูเข้ม
ดอกโคมญี่ปุ่น กลีบสีขาวโคมด้านในสีแดงสด
ไฮเดนเยีย ช่อใหญ่มาก ใหญ่ประมาณ 1 ฟุต ยาวพอๆ กับร่มที่แอนนี่ถือ
“พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ”ยามหมอกเคลื่อนเข้ามา
พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ
บริเวณฐานพระมหาธาตุ จะมีลักษณะคล้ายกลีบดอกบัว ซึ่งแต่ละกลีบมีภาพไม้แกะสลักทีงดงามแตกต่างกันไป
สวนบริเวณด้านหลังพระมหาธาตุ ด้านล่างเป็นเหวลึก มองเห็นแต่เมฆหมอกลอยผ่าน
ยามเมฆหมอกลอยผ่านไป ก็จะทำให้มองเห็นหน้าผาฝั่งตรงกันข้าม ซึ่งรูปข้างล่างนี้จะมองเห็นพระรูปหนึ่งยืนอยู่บนปากเหว
ด้านในพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ
เมื่อยืนอยู่ฝั่งนี้ก็จะมองเห็นพระมหาธาตุนภเมทนีดล เด่นเป็นสง่า งดงามไม่แพ้กัน
พวกเราไม่ได้ไปชมความงามกันใกล้ๆ เพราะบันไดฝั่งนั้นกำลังอยู่ระหว่างการซ่อมแซม
ดอกโคมญี่ปุ่น กลีบแดงโคมสีม่วง เห็นแล้วสีเหมือนดอกไม้ที่ทำจากแป้งโด เพราะสีสันสดใสมาก ยิ่งเอามาลอยในอ่างดินเอาก็น่ารักไปอีกแบบคะ นี้วิวหน้าห้องน้ำ เห็นน่ารักดีเลยถ่ายรูปมาฝากเพื่อนๆๆ
ช้างหินน่ารัก
เดินทางต่อไปที่ยอดดอยอินทนนท์ จุดที่สูงที่สุดของประเทศไทยคะ
มายืนบนนี้ที่ไหร่ คิดว่าจะได้มองเห็นวิวสวยๆ แต่ก็ไม่เคยเห็นสักครั้ง เพราะมีแต่ก้อนเมฆลอยไปมา “ยิ่งสูงยิ่งหนาว ห่างไกลผู้คน โดดเดี่ยวจริงๆๆ”
มีรูปสาวน่ารักมาฝากหนึ่งคนคะ เธอกำลังยืนรอเพื่อนถ่ายรูปให้ แอนนี่ก็เลยถ่ายให้เสียเลย
ป่าชื้น มีหญ้ามอสขึ้นตามต้นไม้ ทางเดิน เห็นแล้วก็ได้อีกบรรยากาศหนึ่งคะ
บนนี้มีร้านกาแฟด้วยนะคะ
ประวัติการทำแผนที่ประเทศไทย โดย พลโท พระยาศัลวิธานนิเทศ การทำแผนที่แบบตะวันตกโดยคนไทยเริ่มมีขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ ใน พ.ศ. ๒๔๑๘ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งหน่วยทหารช่างขึ้นในกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ให้นายเฮนรี อะลาบาสเตอร์ (Henry Alabaster) (ซึ่งเคยรับราชการสถานทูตอังกฤษ แล้วเข้ามารับราชการไทยเป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์) เป็นหัวหน้า นายนาวาเอก ลอฟทัส (Lophtus) เป็นผู้ช่วย และมีหม่อมราชวงศ์ แดง(หม่อมเทวาธิราช) นายทัด (พระยาสโมสรสรรพการ) นายสุด (พระยาอุดรกิจพิจารณ์) และ หม่อมราชวงศ์แปลก (พระยาสากลกิจประมวล)ทั้ง ๔ นายนี้ เป็นนายทหารในกรมทหารมหาดเล็ก ให้เข้ารับการอบรมฝึกหัดในหมวดทำแผนที่นี้ งานที่ได้ทำไป ได้แก่ การทำแผนที่บริเวณถนนเจริญกรุง บริเวณใกล้พระราชวัง และบริเวณปากอ่าวเพื่อการเดินเรือ และใช้เป็นแนวทางป้องกันทางทะเลด้านอ่าวไทย ใน พ.ศ. ๒๔๒๓ ทางรัฐบาลอังกฤษได้ขออนุญาตให้สถาบันการแผนที่อินเดีย เข้ามาทำการวัดต่อสายสามเหลี่ยมสายเขตแดนตะวันออกโดยเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ เพื่อสร้างหมุดหลักฐานแผนที่ที่ภูเขาทอง (กรุงเทพ) และที่พระปฐมเจดีย์ (นครปฐม) และโยงต่อออกไปจนถึงบริเวณปากอ่าว เพื่อจะได้โยงยึดเข้าด้วยกันกับสายหมุดหลักฐานที่สถาบันการแผนที่อินเดียได้ทำเข้ามาทางทะเล สำหรับใช้ในการสำรวจแผนที่ทางทะเล มีนายร้อยเอก เอช. ฮิลล์ (H. Hill) เป็นหัวหน้ากองแผนที่ นายเจมส์ แมคคาร์ที เป็นผู้ช่วย และเป็นผู้นำระบบโครงข่ายสามเหลี่ยมเข้ามา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตและโปรดเกล้าฯ ให้นายอะลาบาสเตอร์ ดำเนินการให้นายแมคคาร์ทีได้เข้ามาทำงานกับรัฐบาลไทยภายหลังเสร็จงานของสถาบันการแผนที่อินเดีย นายเจมส์ แมคคาร์ที ได้เริ่มเข้ารับราชการไทยเมื่อวันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๒๔ โปรดเกล้าฯ ให้สังกัดสมุหพระกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ในบังคับบัญชาของนายพันโทพระองค์เจ้าดิศวรกุมาร (สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ) ผู้บังคับการ การทำแผนที่แบบตะวันตกในประเทศไทยเริ่มตั้งแต่นายแมคคาร์ทีเข้ารับราชการไทย ได้ใช้หลักมูลฐานขนาดมิติทรงวงรี เอเวอเรสต์ ในการสำรวจทำแผนที่ตลอดมา ชื่อทรงวงรี “เอเวอเรสต์” มาจากชื่อของนายพันเอกเอเวอเรสต์นายทหารช่างชาวอังกฤษผู้เป็นหัวหน้าสถาบันการแผนที่อินเดียในสมัยที่อินเดียยังขึ้นกับอังกฤษ การทำแผนที่ซึ่งได้จัดทำก่อนสถาปนาเป็นกรมแผนที่เริ่มแรกในตอนปลาย พ.ศ. ๒๔๒๔ เป็นการสำรวจสำหรับวางแนวทางสายโทรเลขระหว่างกรุงเทพฯ และมะละแหม่ง (Moulmein) ผ่านระแหง (ตาก) ในการนี้นายแมคคาร์ทีได้ทำการสำรวจสามเหลี่ยมเล็กโยงยึดกับสายสามเหลี่ยมของอินเดียที่ยอดเขาซึ่งอยู่ทางตะวันตกของระแหงไว้ ๓ แห่ง งานแผนที่ที่ใช้สำรวจมีการวัดทางดาราศาสตร์และการวางหมุดหลักฐานวงรอบ (traverse) เมื่อเสร็จงานสำรวจวางแนวทางสายโทรเลขแล้ว พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร (สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ) ซึ่งเวลานั้นเป็นผู้บังคับการกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ได้มีรับสั่งให้นายแมคคาร์ทีดำเนินการตั้งโรงเรียนแผนที่ คัดเลือกนักเรียนจากกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์จากจำนวน ๓๐ คน ใช้สถานที่เรียนที่ตำหนักสมเด็จเจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี (กรมพระจักรพรรดิพงศ์)ซึ่งอยู่ในบริเวณพระราชวังบางปะอิน ใช้เวลาเรียนประมาณ ๓ เดือน แล้วย้ายกลับมากรุงเทพฯ คัดเลือกได้ผู้ที่จะเป็นช่างแผนที่ได้ ๑๐ คน เริ่มสำรวจทำแผนที่มาตราส่วนขนาดใหญ่บริเวณสำเพ็ง ในเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๒๕ นายแมคคาร์ทีได้รับคำสั่งให้ไปสำรวจทำแผนที่บริเวณลุ่มแม่น้ำตืน ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของแม่น้ำปิง บริเวณต้นแม่น้ำตืนเป็นป่าไม้สักหนาแน่น ได้มีกรณีพิพาทเรื่องเขตระหว่างเชียงใหม่กับระแหง เกี่ยวกับ สิทธิการเก็บภาษีอากร เสร็จงานทำแผนที่รายนี้แล้ว ก็ต้องไปทำแผนที่กำหนดเขตแดนระหว่างรามัญ (มณฑลปัตตานี) กับเปรัค (อาณานิคมของอังกฤษ) ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๒๖ เวลานั้นได้รับรายงานมีการก่อการไม่สงบจากพวกฮ่อในภูมิภาคทางตะวันออกเฉียงเหนือ ทางราชการเห็นเป็นการสมควรที่จะต้องมีการสำรวจทำแผนที่บริเวณที่เกิดความไม่สงบ ในการไปทำงานแผนที่ครั้งนี้ มีนายเจ. บุช (J.Bush) และช่างแผนที่ไทย ๗ นาย เป็นกองทำแผนที่ และทางราชการได้จัดกองทหาร ๒๐๐ คน มีนายลีโอโนเวนส์ (Leonovens) เป็นผู้บังคับบัญชาควบคุมไปด้วย ทั้งคณะได้ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ในเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๒๖ โดยทางเรือ ถึงสระบุรีแล้วเดินทางทางบกต่อไปถึงนครราชสีมา และเดินทางต่อไปผ่านพิมาย ภูไทสง และกุมภวาปีไปถึงหนองคายริมฝั่งแม่น้ำโขง จากหนองคาย ให้นายบุชเดินทางต่อไปยังหลวงพระบาง ส่วนนายแมคคาร์ทีเดินทางต่อไปยังเวียงจันทน์ก่อน แล้วต่อไปยังเชียงขวาง ผ่านเมืองฝางและเมืองจัน แล้วจึงล่องตามลำน้ำจันมาออกแม่น้ำโขงกลับมายังหนองคายอีก แล้วเดินทางต่อไปถึงหลวงพระบาง ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ ได้กำหนดการไว้ว่าจะอยู่ทำงานที่บริเวณนี้ในระหว่างฤดูฝน แต่นายบุชได้ล้มป่วยลงและได้ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๒๖ เนื่องจากไข้พิษ ดังนั้นต้นเดือนกรกฎาคม นายแมคคาร์ ได้ยกกองกลับกรุงเทพฯ นายแมคคาร์ทีรับราชการได้ประมาณ ๒ ปีก็ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระวิภาคภูวดลเมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๖ ภายหลังจากนั้นกองแผนที่ไทยได้นายดี.เจ.คอลลินส์ (D.J.Collins) ช่างแผนที่จากสถาบันการแผนที่อินเดียเข้ามารับราชการไทย เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ ซึ่งเหมาะกับเวลาที่จะยกกองออกไปภาคเหนือ พระวิภาคภูวดลจึงได้ยกกองออกเดินทางในเดือนพฤศจิกายนมีนายคอลลินส์ไปด้วย และมีหน่วยทหารคุ้มกันซึ่งมีนายเรือโทรอสมุสเซน (Rosmussen) เป็นผู้บังคับบัญชาทหารเรือ ๓๐ คน เดินทางทางเรือผ่านชัยนาท นครสวรรค์ไปถึงอุตรดิตถ์แล้วเดินทางทางบกถึงน่าน จากน่านไปหลวงพระบาง ได้แยกกองออกเป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มหนึ่งนำโดยนายคอลลินส์ และนายเรือโทรอสมุสเซน ไปทางบก อีกกลุ่มหนึ่งนำโดยพระวิภาคภูวดล ไปทางท่านุ่น แล้วเดินทางทางน้ำไปบรรจบกันที่หลวงพระบาง กลุ่มพระวิภาคภูวดลได้ผ่านเมืองจุก (หงสาวดี) มีทุ่งพื้นราบยาวประมาณ ๖x๑๐ ไมล์ล้อมรอบด้วยภูเขา มีภูเขาไฟ ๒ ลูก โผล่ให้เห็น ชื่อ ภูไฟใหญ่ และภูไฟน้อย พระวิภาคภูวดลได้แวะไปดูภูไฟใหญ่ มีทางขึ้นไปถึงปากปล่องภูเขาไฟ ทรงวงรี ขนาด ๑๐๐x๕๐ หลา ปากปล่องภูเขาไฟข้างหนึ่งสูงกว่าอีกข้างหนึ่งประมาณ ๕๐ ฟุต เมื่อเอาเศษไม้แห้งใส่เข้าไปตามรอยแตกร้าวไม่ช้าได้ยินเสียงเหมือนไฟคุขึ้นมีควันออกมา และต่อมาเห็นไฟไหม้ขึ้นมาที่เศษไม้นั้น แต่ ที่รอยแตกร้าวอื่นจะเห็นมีแต่ควันขึ้นมา เมื่อเดินทางต่อไปถึงท่านุ่น ริมแม่น้ำโขงกลุ่มของพระวิภาคภูวดลได้เดินทางทางน้ำไปพบกันกับอีกกลุ่มหนึ่งที่หลวงพระบาง จากหลวงพระบาง กองแผนที่ได้เดินทางต่อไปยังทุ่งเชียงคำซึ่งเป็นที่ตั้งกองทหารไทย กำลังทำการปราบพวกก่อการร้ายฮ่อ เมื่อเสร็จธุรกิจกับข้าหลวงที่กำลังทำการปราบฮ่อ ได้ยกกองทำแผนที่ไปที่หลวงพระบาง และทำการบุกเบิกสำรวจและทำแผนที่ภูมิประเทศบริเวณเหนือของแม่น้ำโขง และตะวันออกของหลวงพระบาง แล้วยกกองกลับกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๒๗ กองการแผนที่คงเป็นส่วนหนึ่งในสังกัดกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์จนถึงวันที่ ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๒๘ จึงได้มีพระบรมราชโองการสถาปนาขึ้นเป็นกรมทำแผนที่ แยกออกจากกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ และมีพระวิภาคภูวดลเป็นเจ้ากรม กรมทำแผนที่เปลี่ยนชื่อหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายเป็นกรมแผนที่ทหารมาจนปัจจุบันนี้ ภายหลังตั้งกรม พระวิภาคภูวดลได้ขึ้นไปภาคเหนืออีกสองครั้ง เพื่อทำแผนที่ให้แก่กองทัพครั้งสุดท้ายไปที่เมืองเทิง ซึ่งอยู่ทางเหนือของหลวงพระบาง และเวลานั้นเป็นที่ตั้งกองทัพของพระยาสุรศักดิ์มนตรี (ภายหลังได้เป็นเจ้าพระยา) และได้กลับกรุงเทพฯ ปลาย พ.ศ. ๒๔๒๙ ปีต่อมารัฐบาลไทยได้ทำสัญญากับบริษัทพูชาร์ด (Puchard) ให้สำรวจแนวทางสำหรับสร้างทางรถไฟจากกรุงเทพฯ ถึงเชียงใหม่ พระวิภาคภูวดลได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้แทนรัฐบาล ติดตามช่างของบริษัทที่ทำการนี้ด้วย ภายหลังเมื่อเสร็จงานนั้นแล้วมีนายช่างของบริษัทคนหนึ่งชื่อ สไมลส์ (Smiles) ได้เข้ามาสมัครทำงานที่กรมแผนที่ ใน พ.ศ. ๒๔๓๓ มีงานแผนที่สำคัญที่ต้องทำ เป็นงานสำรวจทำแผนที่กำหนดเขตแดน ระหว่างไทยกับพม่าทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ได้มีการเริ่มทำแผนที่สามเหลี่ยมบริเวณภาคเหนือ ตั้งต้นที่เชียงใหม่ วัดโยงยึดติดต่อกับโครงข่ายการสามเหลี่ยมภาคตะวันออกของสถาบันการแผนที่อินเดีย มีการวัดเส้นฐานที่ทุ่งนาเมืองเชียงใหม่ (และมีการทำแผนที่ด้วยโซ่และเข็มทิศในบางภาคของมณฑลพายัพด้วย) นายสไมลส์ซึ่งได้เข้ารับราชการกรมแผนที่ได้ร่วมทำงานการสามเหลี่ยมครั้งนี้ด้วย โดยตั้งต้นที่เชียงขวางไปถึงหลวงพระบาง วันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๕ หลวงเทศาจิตวิจารณ์ (ภายหลังเป็นพระยามหาอำมาตย์) ได้รับคำสั่งให้กลับกรุงเทพฯ เนื่องจากได้มีการปรับปรุงระเบียบบริหาร มีการตั้งกระทรวง และทางราชการได้ให้ไปรับตำแหน่งทางกระทรวงมหาดไทย งานแผนที่สามเหลี่ยมได้ดำเนินไปจนถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๖ พระวิภาคภูวดลได้รับคำสั่งได้ยกกองกลับกรุงเทพฯ เนื่องจากได้เกิดกรณีพิพาทกับฝรั่งเศส ทางฝ่ายฝรั่งเศสยึดเอาดินแดนซึ่งกองแผนที่ได้สำรวจไว้แล้วทางเหนือและตะวันออกของแม่น้ำโขง พระวิภาคภูวดลได้ยกกองกลับถึงกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ในระหว่างฤดูสำรวจ พ.ศ. ๒๔๓๖-๒๔๓๗ ได้มีการทำแผนที่การสามเหลี่ยมออกจากกรุงเทพฯ ไปทางจันทบุรี และมีการทำแผนที่ภูมิประเทศ โดยโซ่และเข็มทิศในต่างจังหวัด เพื่อเก็บข้อมูลสำหรับทำแผนที่ประเทศไทย นายอาร์ ดิบบลิว กิบลิน (R.W. Giblin) ผู้ซึ่งต่อมาได้เป็นเจ้ากรมแผนที่ ได้เข้ารับราชการไทยเมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๓๗ ทางกรมแผนที่ได้พยายามจะต่อสายสามเหลี่ยมให้โยงยึดเข้าด้วยกันกับสายสามเหลี่ยม ซึ่งได้จัดทำไปแล้วทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือในฤดูสำรวจ พ.ศ. ๒๔๓๗-๒๔๓๘ แต่มีอุปสรรคบางประการจึงต้องเลิกล้มความตั้งใจนั้น พระวิภาคภูวดลได้ให้นายกิบลินและนายสไมลส์ไปทำการแผนที่จากเสียมราฐถึงบาสสักที่บาสสักได้มีการวัดทางดาราศาสตร์หาลองจิจูดของบาสสัก ใช้วิธีโทรเลขและการวัดทางดาราศาสตร์หาเวลาอย่างละเอียดระหว่างกรุงเทพฯ กับบาสสัก ระหว่างที่ไปทำการแผนที่ครั้งนี้ นายสไมลส์ได้ป่วยเป็นโรคบิด ถึงแก่กรรมที่บ้านจันและได้มีการฝังศพไว้ที่สังขะ เมื่อสิ้นฤดูสำรวจนายกิบลินได้ยกกองกลับกรุงเทพฯ การรวบรวมข้อมูลและการเขียนแผนที่ประเทศไทยได้ดำเนินการจนแล้วเสร็จและจัดพิมพ์ขึ้นได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษใน พ.ศ. ๒๔๓๙ ภาษาอังกฤษได้พิมพ์ที่ลอนดอน เพราะเวลานั้นกรมแผนที่ยังไม่มีเครื่องมือพิมพ์ดีพอที่จะทำงานนี้สำเนาฉบับต่อมาจึงได้พิมพ์ที่กรมแผนที่
|
|
Welcome to WordPress.com. This is your first post. Edit or delete it and start blogging!